เส้นทางสู่บัลลังก์โลกของ "จักรพรรดิ" ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์
เรื่องราวของ ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ ตำนานลูกหนังชาวเยอรมัน ผู้ล่วงลับไปเมื่อต้นปี 2024 เป็นการเล่าขานถึงการเป็น "จักรพรรดิ" แห่งวงการฟุตบอลอย่างแท้จริง ชีวิตของเขาเริ่มต้นขึ้นในเมืองมิวนิก ก่อนจะกลายเป็นไอคอนของสโมสร บาเยิร์น มิวนิก โดยเขาเป็นผู้ปฏิวัติบทบาทของกองหลังให้เป็นที่รู้จักในนาม ลิเบอโร่ หรือ สวีปเปอร์ ที่ไม่ได้มีหน้าที่แค่ป้องกันเท่านั้น แต่ยังต้องเติมเกมรุกและเป็นผู้สร้างสรรค์โอกาสจากแนวหลัง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงมิติทางแท็กติกของฟุตบอลโลกไปตลอดกาล
ยุคทองของเบ็คเค่นบาวเออร์เกิดขึ้นทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เขาคือนักเตะคนสำคัญที่นำพาบาเยิร์น มิวนิก คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปัจจุบัน) ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันในช่วงปี 1974-1976 และยังประสบความสำเร็จอย่างสูงกับทีมชาติเยอรมนีตะวันตก โดยการพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1972 และจุดสูงสุดคือการคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1974 ในฐานะกัปตันทีม การเป็นผู้นำที่สง่างามและมีวิสัยทัศน์ทำให้เขาได้รับฉายา "จักรพรรดิ" ที่คู่ควรกับเกียรติยศที่เขาได้รับ
สิ่งที่ทำให้ เบ็คเค่นบาวเออร์ เป็นตำนานที่หาใครเปรียบเทียบได้ยาก คือการที่เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะ ผู้จัดการทีม ด้วย หลังจากแขวนสตั๊ด เขาได้กลับมาคุมทีมชาติเยอรมนีตะวันตก และพาทีมคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1990 ได้สำเร็จ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่สองในประวัติศาสตร์ (ต่อจากมาริโอ ซากัลโล่) ที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ทั้งในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสามารถและอิทธิพลของเขาต่อเกมลูกหนังอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้
มรดกของฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ถ้วยรางวัลที่กองเป็นภูเขา แต่เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตำแหน่งลิเบอโร่ และการเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้ชนะอย่างสมบูรณ์แบบทั้งในและนอกสนาม แม้แต่บทบาทในฐานะผู้บริหารของบาเยิร์น มิวนิก และการเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำเยอรมนีเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 ก็แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทให้กับฟุตบอลตลอดชีวิตของเขา เรื่องราวของ "จักรพรรดิ" จึงเป็นบทเรียนที่สมบูรณ์แบบของการเป็นอัจฉริยะที่เปลี่ยนแปลงโลกกีฬาได้อย่างแท้จริง
แสดงความคิดเห็น